0 ความคิดเห็น

หลักและทฤษฎีการบริหารการศึกษา

ทฤษฎีการบริหารการศึกษา

ในการบริหารสถานศึกษา  ผู้บริหารควรมีหลักและกระบวนการบริหาร การบริหารการศึกษา หลักการแนวคิดในการบริหาร ภาพรวมของ
การบริหารทั้งนี้เพื่อให้การจัดการบริหารสถานศึกษามีความเหมาะสมผู้เขียนจะได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวเพื่อให้เกิดความเข้าใจและมุมมอง
ในการบริหารสถานศึกษายิ่งขึ้นต่อไป
คำจำกัดความ
คำว่า “การบริหาร”(Administration) ใช้ในความหมายกว้าง ๆ เช่น การบริหารราชการ อีกคำหนึ่ง คือ “ การจัดการ” (Management) ใช้แทนกันได้
กับคำว่า การบริหาร ส่วนมากหมายถึง การจัดการทางธุรกิจมากกว่าโดยมีหลายท่านได้ระบุดังนี้
Peter F Drucker : คือ ศิลปะในการทำงานให้บรรลุเป้าหมายร่วมกับผู้อื่น (ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, 2542: 2)
Herbert A. Simon :กล่าวว่าคือ กิจกรรมที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ร่วมมือกันดำเนินการให้บรรลุวัถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วม กัน (ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, 2542: 2)
การบริหาร หมายถึง ศิลปะในการทำให้สิ่งต่าง ๆ ได้รับการกระทำจนเป็น ผลสำเร็จ กล่าวคือ ผู้บริหารไม่ใช้เป็นผู้ปฏิบัติ แต่เป็นผู้ใช้ศิลปะทำให้ผู้ปฏิบัติทำงานจนสำเร็จตามจุดมุ่งหมายที่ผู้บริหาร ตัดสินใจเลือกแล้ว (Simon)
การบริหาร คือ กระบวนการทำงานร่วมกับผู้อื่นเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ (Sergiovanni)
การบริหาร คือ การทำงานของคณะบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ที่รวมปฏิบัติการให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน (Barnard)
การบริหาร หมายถึง กิจกรรมต่างๆ ที่บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมมือกันดำเนินการ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายๆอย่างที่บุคคลร่วมกัน กำหนดโดยใช้กระบวนอย่างมีระบบและให้ทรัพยากรตลอดจนเทคนิคต่างๆ อย่างเหมาะสม (สมศักดิ์ คงเที่ยง , 2542 : 1)
ส่วนคำว่า “การบริหารการศึกษา” หมายถึง กิจกรรมต่างๆ ที่บุคคลหลายคนร่วมกันดำเนินการ เพื่อพัฒนาสมาชิกของสังคมในทุกๆ ด้าน นับแต่ บุคลิกภาพ ความรู้ ความสามารถ เจตคติ พฤติกรรม คุณธรรม เพื่อให้มีค่านิยมตรงกันกับความต้องการของสังคม โดยกระบวนการต่างๆ ที่อาศัยควบคุมสิ่งแวดล้อมให้มีผลต่อบุคคล และอาศัย
ทรัพยากร ตลอดจนเทคนิคต่างๆ อย่างเหมาะสม เพื่อให้บุคคลพัฒนาไปตรงตามเป้าหมายของสังคมที่ตนดำเนินชีวิตอยู่(ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, 2542: 6)
คำว่า “สถานศึกษา” หมายความ ว่าสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรียน ศูนย์การศึกษาพิเศษ ศูนย์การศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย ศูนย์การเรียน วิทยาลัย วิทยาลัยชุมชน สถาบันหรือสถานศึกษาที่เรียกชื่ออย่างอื่นของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่หรือมี วัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติและตาม ประกาศกระทรวง(พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา, 2547 : 23)
การบริหารเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
การบริหารเป็นสาขาวิชาที่มีการจัดการระเบียบอย่างเป็นระบบ คือมีหลักเกณฑ์และทฤษฎีที่พึงเชื่อถือได้ อันเกิดจาการค้นคว้าเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อประโยชน์ในการบริหาร โดยลักษณะนี้ การบริหารจึงเป็นศาสตร์ (Science) เป็นศาสตร์สังคม ซึ่งอยู่กลุ่มเดียวกับวิชาจิตวิทยา สังคมวิทยา และรัฐศาสตร์แต่ถ้าพิจารณาการบริหารในลักษณะของ
การปฏิบัติที่ต้องอาศัยความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์และทักษะของผู้บริหารแต่ละคน ที่จะ ทำงานให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งเป็นการประยุกต์เอาความรู้ หลักการและทฤษฎีไปรับใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และสิ่งแวดล้อม การบริหารก็จะมีลักษณะเป็นศิลป์ (Arts) (ที่มา : http://www.kunkroo.com/admin1.html,)
ปัจจัยสำคัญการบริหารที่สำคัญมี 4 อย่าง ที่เรียกว่า 4Ms ได้แก่
1. คน (Man)
2 เงิน (Money)
3. วัสดุสิ่งของ(Materials)
4. การจัดการ (Management)
กระบวนการบริหารการศึกษา
จากหลักการบริหารทั่วไป 14 ข้อของ Fayol ทำให้ต่อมา Luther Gulick ได้นำ
มาปรับต่อยอดเป็นที่รู้จักกันดีในตัวอักษรย่อที่ว่า “POSDCoRB” กลายเป็นคัมภีร์ของการจัดองค์การในต้นยุคของศาสตร์การบริหารซึ่งตัวย่อแต่ละ ตัวมีความหมายดังนี้
P – Planning หมายถึง การวางแผน
O – Organizing หมายถึง การจัดองค์การ
S – Staffing หมายถึง การจัดคนเข้าทำงาน
D – Directing หมายถึง การสั่งการ
Co – Coordinating หมายถึง ความร่วมมือ
R – Reporting หมายถึง การรายงาน
B – Budgeting หมายถึง งบประมาณ
ความหมายของทฤษฎีและทฤษฎีทางการบริหารการศึกษา
ทฤษฎี หมายถึง แนวความคิดหรือความเชื่อที่เกิดขึ้นอย่างมีหลักเกณฑ์มีการทดสอบและการสังเกต จนเป็นที่แน่ใจ ทฤษฎีเป็น เซท(Set) ของมโนทัศน์ที่เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน เป็นข้อสรุปอย่างกว้างที่พรรณนาและอธิบายพฤติกรรมการบริหารองค์กรการ
ทางศึกษา อย่างเป็นระบบ ถ้าทฤษฎีได้รับการพิสูจน์บ่อย ๆ ก็จะกลายเป็นกฎเกณฑ์ ทฤษฎีเป็นแนวความคิดที่มีเหตุผลและสามารถนำไปประยุกต์ และปฏิบัติได้ ทฤษฎีมีบทบาทในการให้คำอธิบายเกี่ยวกับปรากฎทั่วไปและชี้แนะการวิจัย
ทฤษฎีทางการบริหารและวิวัฒนาการการบริหารการศึกษา
ระยะที่ 1 ระหว่าง ค.ศ. 1887 – 1945 (ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, 2542: 10) ยุคนักทฤษฎี
การบริหารสมัยดั้งเดิม (The Classical organization theory) แบ่งย่อยเป็น 3 กลุ่มดังนี้
1.กลุ่มการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ของเทย์เลอร์(Scientific Management)ของ
เฟรดเดอริก เทย์เลอร์ (Frederick Taylor) ความมุ่งหมายสูงสุดของแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์คือ จัดการบริหารธุรกิจหรือโรงงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด Taylor มองคนงานแต่ละคนเปรียบเสมือนเครื่องจักรที่สามารถปรับปรุงเพื่อเพิ่มผลผลิต ขององค์การได้ เจ้าของตำรับ “The one best way” คือประสิทธิภาพของการทำงานสูงสุดจะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กับสิ่งสำคัญ 3 อย่างคือ
1.1 เลือกคนที่มีความสามารถสูงสุด (Selection)
1.2 ฝึกอบบรมคนงานให้ถูกวิธี (Training)
1.3 หาสิ่งจูงใจให้เกิดกำลังใจในการทำงาน (Motivation)
เทย์เลอร์ ก็คือผลผลิตของยุคอุตสาหกรรมในงานวิจัยเรื่อง “Time and Motion Studies” เวลาและการเคลื่อนไหว เชื่อว่ามีวิธีการการทางวิทยาศาสตร์ที่จะบรรลุวัตถุประสงค์เพียงวิธีเดียว ที่ดีที่สุด เขาเชื่อในวิธีแบ่งงานกันทำ ผู้ปฏิบัติระดับล่างต้องรับผิดชอบต่อระดับบน เทย์เลอร์ เสนอ ระบบการจ้างงาน(จ่ายเงิน)บนพื้นฐานการสร้างแรงจูงใจ สรุปหลักวิทยาศาสตร์ของเทยเลอร์สรุปง่ายๆประกอบด้วย 3 หลักการดังนี้
1. การแบ่งงาน (Division of Labors)
2. การควบคุมดูแลบังคับบัญชาตามสายงาน (Hierarchy)
3. การจ่ายค่าจ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจ (Incentive payment)
2. กลุ่มการบริหารจัดการ(Administration Management) หรือ ทฤษฎีบริหารองค์การอย่างเป็นทางการ(Formal Organization Theory ) ของ อังรี
ฟาโยล (Henri Fayol) บิดาของทฤษฎีการปฏิบัติการและการจัดการตามหลักบริหาร ทั้ง Fayol และ Taylor
จะเน้นตัวบุคลปฏิบัติงาน + วิธีการทำงาน ได้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลแต่ก็ไม่มองด้าน “จิตวิทยา” (ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, 2542: 17)Fayol ได้เสนอแนวคิดในเรื่องหลักเกี่ยวกับการบริหารทั่วไป 14 ประการ แต่ลักษณะที่สำคัญ มีดังนี้
2.1 หลักการทำงานเฉพาะทาง (Specialization) คือการแบ่งงานให้เกิดความชำนาญเฉพาะทาง
2.2 หลักสายบังคับบัญชา เริ่มจากบังคับบัญชาสูงสุดสู่ระดับต่ำสุด
2.3 หลักเอกภาพของบังคับบัญชา (Unity of Command)
2.4 หลักขอบข่ายของการควบคุมดูแล (Span of control) ผู้ดูแลหนึ่งคนต่อ 6 คนที่จะอยู่ใต้การดูแลจึงจะเหมาะสมและมีประสิทธิภาพที่สุด
2.5 การสื่อสารแนวดิ่ง (Vertical Communication) การสื่อสารโดยตรงจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง
2.6 หลักการแบ่งระดับการบังคับบัญชาให้น้อยที่สุด คือ ไม่ควรมีสายบังคับบัญชายืดยาว หลายระดับมากเกินไป
2.7 หลักการแบ่งความรับผิดชอบระหว่างสายบังคับบัญชาและสายเสนาธิการ (Line and Staff Division)
3. ทฤษฎีบริหารองค์การในระบบราชการ(Bureaucracy) มาจากแนวคิดของ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) ที่กล่าวถึงหลักการบริหารราชการประกอบด้วย
3.1 หลักของฐานอำนาจจากกฎหมาย
3.2 การแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบ ที่ต้องยึดระเบียบกฎเกณฑ์
3.3 การแบ่งงานตามความชำนาญการเฉพาะทาง
3.4 การแบ่งงานไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัว
3.5 มีระบบความมั่นคงในอาชีพ
จะอย่างไรก็ตามระบบราชการก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งในด้าน ข้อเสีย คือ สายบังคับบัญชายืดยาวการทำงานต้องอ้างอิงกฎระเบียบ จึงชักช้าไม่ทันการแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน เรียกว่า ระบบ “Red tape” ในด้านข้อดี คือ ยึดประโยชน์สาธารณะเป็นหลัก การบังคับบัญชา การเลื่อนขั้นตำแหน่งที่มีระบบระเบียบ แต่ในปัจจุบันระบบราชการกำลังถูกแทรกแซงทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ ทำให้เริ่มมีปัญหา
ระยะที่ 2 ระหว่าง ค.ศ. 1945 – 1958 (ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, 2542: 10) ยุคทฤษฎี
มนุษยสัมพันธ์ (Human Relation ) Follette ได้นำเอาจิตวิทยามาใช้และได้เสนอ
การแก้ปัญหาความขัดแย้ง(Conflict) ไว้ 3 แนวทางดังนี้
1. Domination คือ ใช้อำนาจอีกฝ่ายสยบลง คือให้อีกฝ่ายแพ้ให้ได้ ไม่ดีนัก
2. Compromise คือ คนละครึ่งทาง เพื่อให้เหตุการณ์สงบโดยประนีประนอม
3. Integration คือ การหาแนวทางที่ไม่มีใครเสียหน้า ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ทาง (ชนะ ชนะ) นอกจากนี้ Follette ให้ทัศนะน่าฟังว่า “การเกิดความขัดแย้งในหน่วยงานเป็นความพกพร่องของการบริหาร” (ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, 2542: 25)
การวิจัยหรือการทดลองฮอร์ทอร์น(Hawthon Experiment) ที่ เมโย(Mayo) กับคณะทำการวิจัยเริ่มที่ข้อสมมติฐานว่าสิ่งแวดล้อมมีผลต่อประสิทธิภาพการทำ งานของคนงาน มีการค้นพบจากการทดลองคือมีการสร้างกลุ่มแบบไม่เป็นทางการในองค์การ ทำให้เกิดแนวความคิดใหม่ที่ว่า ความสัมพันธ์ของมนุษย์ มีความสำคัญมาก ซึ่งผลการศึกษาทดลองของเมโยและคณะ พอสรุปได้ดังนี้
1. คนเป็นสิ่งมีชีวิต จิตใจ ขวัญ กำลังใจ และความพึงพอใจเป็นเรื่องสำคัญในการทำงาน
2. เงินไม่ใช่ สิ่งล่อใจที่สำคัญแต่เพียงอย่างเดียว รางวัลทางจิตใจมีผลต่อการจูงใจในการทำงานไม่น้อยกว่าเงิน
3. การทำงานขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางสังคมมากกว่าสภาพแวดล้อมทางกายภาพคับที่อยู่ได้คับใจอยู่อยาก
ข้อคิดที่สำคัญ การตอบสนองคน ด้านความต้องการศักดิ์ศรี การยกย่อง จะส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานจากแนวคิด “มนุษยสัมพันธ์”*
ระยะที่ 3 ตั้งแต่ ค.ศ. 1958 – ปัจจุบัน (ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, 2542: 11) ยุคการใช้ทฤษฎีการบริหาร(Administrative Theory)หรือการศึกษาเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Science Approach) ยึดหลักระบบงาน + ความสัมพันธ์ของคน + พฤติกรรมขององค์การ ซึ่งมีแนวคิด หลักการ ทฤษฎีที่หลายๆคนได้แสดงไว้ดังต่อไปนี้
1.เชสเตอร์ ไอ บาร์นาร์ด (Chester I Barnard ) เขียนหนังสือชื่อ The Function of The Executive ที่กล่าวถึงงานในหน้าที่ของผู้บริหารโดยให้ความสำคัญต่อบุคคลระบบของความ ร่วมมือองค์การ และเป้าหมายขององค์การ กับความต้องการของบุคคลในองค์การต้องสมดุลกัน
2.ทฤษฎีของมาสโลว์ ว่าด้วยการจัดอันดับขั้นของความต้องการของมนุษย์ (Maslow – Hierarchy of needs) เป็นเรื่องแรงจูงใจแบ่งความต้องการของมนุษย์ตั้งแต่ความต้องการด้านกายภาพ ความต้องการด้านความปลอดภัยความต้องการด้านสังคม ความต้องการด้านการเคารพ – นับถือ และประการสุดท้าย คือ การบรรลุศักยภาพของตนเอง (Self actualization) คือมีโอกาสได้พัฒนาตนเองถึงขั้นสูงสุดจากการทำงาน แต่ความต้องการเหล่านั้นต้องได้รับการสนองตอบตามลำดับขั้น
3.ทฤษฎี X ทฤษฎี Y ของแมคกรีกอร์(Douglas MC Gregor Theory X,
Theory Y ) เขาได้เสนอแนวคิดการบริหารอยู่บนพื้นฐานของข้อสมมติฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของ มนุษย์ต่างกัน ทฤษฎี X(The Traditional View of Direction and Control) ทฤษฎีนี้เกิดข้อสมติฐานดังนี้
1. คนไม่อยากทำงาน และหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ
2. คนไม่ทะเยอทะยาน และไม่คิดริเริ่ม ชอบให้การสั่ง
3. คนเห็นแก่ตนเองมากกว่าองค์การ
4. คนมักต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
5. คนมักโง่ และหลอกง่าย
ผลการมองธรรมชาติของมนุษย์เช่นนี้ การบริหารจัดการจึงเน้นการใช้เงิน วัตถุ เป็นเครื่องล่อใจ เน้นการควบคุม การสั่งการ เป็นต้น
ทฤษฎี Y(The integration of Individual and Organization Goal) ทฤษฎีข้อนี้เกิดจากข้อสมติฐานดังนี้
1. คนจะให้ความร่วมมือ สนับสนุน รับผิดชอบ ขยัน
2. คนไม่เกียจคร้านและไว้วางใจได้
3. คนมีความคิดริเริ่มทำงานถ้าได้รับการจูงใจอย่างถูกต้อง
4. คนมักจะพัฒนาวิธีการทำงาน และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ
ผู้บังคับบัญชาจะไม่ควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเข้มงวด แต่จะส่งเสริมให้รู้จักควบคุมตนเองหรือของกลุ่มมากขึ้น ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกันจากความเชื่อที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดระบบการบริหารที่แตกต่างกันระหว่างระบบที่เน้นการควบคุมกับระบบที่ ค่อนข้างให้อิสระภาพ
4.อูชิ (Ouchi ) ชาวญี่ปุ่นได้เสนอ ทฤษฎี Z (Z Theory) (William G. Ouchi) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย UXLA (I of California Los Angeles) ทฤษฎีนี้รวมเอาหลักการของทฤษฎี X , Y เข้าด้วยกัน แนวความคิดก็คือ องค์การต้องมีหลักเกณฑ์ที่ควบคุมมนุษย์ แต่มนุษย์ก็รักความเป็นอิสระ และมีความต้องการหน้าที่ของผู้บริหารจึงต้องปรับเป้าหมายขององค์การให้สอด คล้องกับเป้าหมายของบุคคลในองค์การ
สรุปเพื่อออมชอมสองทฤษฎี มีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการคือ
1. การทำให้ปรัชญาที่กำหนดไว้บรรลุ
2. การพัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
3. การให้ความไว้วางใจแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
4. การให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
อ้างอิง
ภาวิดา ธาราศรีสุทธิ, และวิบูลย์ โตวณะบุตร. (2542). หลักและทฤษฎีการบริหารการศึกษา. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
ศิริพงษ์ เศาภายน, (2548). หลักการบริหารการศึกษา : ทฤษฎีและแนวปฏิบัติ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : บุ๊ค พอยท์.
สมศักดิ์ คงเที่ยง, (ม.ป.ป.) หลักและทฤษฎีการบริหารการศึกษา. กรุงเทพฯ : มิตรภาพ การพิมพ์และสติวดิโอ

การบริหาร หมายถึง ศิลปะในการทำในสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นผลสำเร็จ โดย ผู้บริหารไม่ใช่เป็นผู้ปฏิบัติ แต่เป็นผู้ใช้ศิลปะ ให้ผู้ปฏิบัติทำงานให้เราจนเป็นสำเร็จ ตามจุดมุ่งหมายที่ผู้บริหารได้ตั้งใจไว้
การบริหาร เป็น กระบวนการที่เป็นทั้ง ศาสตร์ และ ศิลป์
ให้ คณะบุคลร่วมกันทำงาน
โดย อาศัย ทรัพยากร และกระบวนการวิธีการดำเนินงาน
เพื่อ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ อย่างมีประสิทธิภาพ ในองค์กรหรือหน่วยงาน
ศาสตร์ หมายถึง หลักเกณฑ์ทฤษฎีที่ศึกษาค้นคว้ามา องค์ความรู้ , ทฤษฎี , หลักการ , แนวคิด , แนวทางการบริหารที่เป็นกฎเกณฑ์ตรวจสอบได้ ฯลฯ (มีสาระเป็นหลักวิชา กฎเกณฑ์ ความจริง เป็นเหตุเป็นผล ไม่แคร์ทางอารมณ์)
ศิลป์ หมายถึง เทคนิคที่ผู้บริหารต้องรู้จักใช้ประกอบกับการบริหารที่เป็นทฤษฎี , การประยุกต์ใช้ ฯลฯ ( คำนึงถึงอารมณ์ จิตใจ ความรัก ความชื่นชม ความเชื่อมั่น ไม่แคร์ความเป็นจริง )
เช่น. ต้องรู้จักใช้หลักการของ แรงจูงใจ
,……………………………, มนุษยสัมพันธ์
,……………………………, การสร้างขวัญและกำลังใจ
,……………………………, ภาวะผู้นำ
,……………………………, การตัดสินใจ
,……………………………, การสื่อสาร
,……………………………, การสร้างทีมงาน
,……………………………, การคิดนอกกรอบ ฯลฯ
ศาสตร์ ( คือ ทฤษฎี , หลักการ , แนวคิด , แนวทางการบริหาร ฯลฯ) ที่ผู้บริหารควรรู้และจดจำ เช่น.
• ทฤษฎีของ “เฟรเดอริค ดับเบิลยู เทย์เลอร์” (Frederick w. Taylor)
เป็นบิดาการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ Boom…
“การจัดการต้องใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เข้าช่วย งานจึงจะสำเร็จอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพสูง”
• ทฤษฎีของ “แมกซ์ เวเบอร์” (Weber’s Theory of Bureaucracy)
เป็นผู้ค้นคิดเรื่องทฤษฎีระบบราชการ
“การบริหารงานแบ่งลำดับและสายบังคับบัญชาอย่างเด่นชัด”
• หลักการบริหารของ “อังรี ฟาโยล” (Henri Fayol)
เป็นที่รู้จักกันในเรื่อง หลักการ 14 ประการของฟาโยล
หลักการข้อที่ 1. การแบ่งงานกันทำ (Division of Work)
หลักการข้อที่ 2. อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ (Authority and Responsibility)
: :
: :
หลักการข้อที่ 14. ความสามัคคี ความร่วมแรงร่วมใจกัน (Esprit de corps)
• หลักการ POSDCORB ของ “กูลิคและเออร์วิค” (Luther Gulick & Lyndall Urwick)
เป็นอาวุธ 7 ประการของนักบริหาร
1. P : Planning = การวางแผน (การวางโครงการอย่างกว้างๆ)
2. O : Organizing = การจัดรูปองค์กร (การกำหนดหน้าที่ของหน่วยงาน)
3. S : Staffing = การจัดคนสู่หน่วยงาน (การบริหารทรัพยากรมนุษย์ขององค์กร เริ่มตั้งแต่
สรรหา บรรจุ แต่งตั้ง ฝึกอบรม พัฒนา บำรุงขวัญ การเลื่อนขั้นตำแหน่ง พิจารณาให้พ้นงาน เกษียณอายุ ดูแลหลังเกษียณอายุ)
4. D : Directing = การอำนวยการ (การดูแลงานในหน้าที่ มอบหมายงาน ดูแลติดตามงานรวมถึงการวินิจฉัยสั่งการด้วย)
5. Co : Coordinating = การประสานงาน (เป็นสื่อความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานย่อย)
6. R : Reporting = การรายงาน (การรายงานให้ผู้บริหารที่รับผิดชอบโดยตรงได้รับทราบความเคลื่อนไหว มีการตรวจสอบ และประเมินผล)
7. B : Budgeting = การจัดทำงบประมาณการเงิน (เป็นการวางแผน โครงการต่างๆ เกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณ ควบคุม ดูแลการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ อย่างรัดกุม คุ้มค่า ไม่รั่วไหล)
ถ้าเป็นอาวุธ 9 ประการ ให้เพิ่ม P และ A เข้าไปเป็น PAPOSDCoRB
P = Policy = ความเข้าใจและการนำนโยบายไปปฏิบัติ
A= Authority = การใช้อำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติงาน Boom…
ประโยชน์หรือบทบาทของ ทฤษฎี มีดังต่อไปนี้
1. เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่เป็นความจริง
2. เพื่อจำแนกปรากฏการณ์
3. เพื่อสร้าง โครงสร้างของความรู้
4. เพื่อย่อสภาพของปรากฏการณ์
5. เพื่อพยากรณ์ปรากฏการณ์
6. เพื่อนำไปสู่การวิจัยที่จำเป็นต่อไป
* เพราะเหตุใด ผู้บริหารการศึกษาจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจ ในทฤษฎีการบริหาร
ตอบ
1. เพราะผู้บริหารต้องมีศาสตร์ทางการบริหาร (เพื่อจะได้อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ , พยากรณ์ปรากฏการณ์ได้
2. เกิดความมั่นใจ (นักบริหารต้องมีหลักการในการบริหาร และการจัดการ)
3. เป็นมืออาชีพ (การเป็นมืออาชีพ ผู้บริหารการศึกษาต้องมี 2 นัก คือ)
* นักการศึกษา (Education)
• เป็นครู (เป็นวิชาชีพแล้วในปัจจุบัน)
• ต้องเข้าใจเรื่องของการศึกษา
• ต้องพัฒนาตนเองตลอดเวลา
* นักบริหาร (Administrator)
• ต้องรู้จักหัวใจของ ศาสตร์ & ศิลป์ ในการบริหาร
• ใช้ศาสตร์ทางการบริหารเป็น
– นำไปประยุกต์ได้ (Application)
- นำไปใช้ได้ (Implementation)
หลักการและประเด็น การวิเคราะห์ “การบริหาร”
1. การบริหารคืออะไร ?
2. การบริหารนั้นสำคัญไฉน ?
3. ใครคือผู้บริหาร ?
4. อะไรบ้างที่ต้องบริหาร ?
5. บริหารอย่างไรให้สำเร็จ ?
ตอบ.
1. การบริหาร ? คือ – การบริหาร ทำให้เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
- การบริหาร ทำสิ่งนั้นเพื่ออะไร ( เพื่อเป้าหมาย , เพื่อคุณภาพ ฯลฯ )
( ถ้าไม่มีการบริหารจะไม่มีคำว่า “พัฒนา” )
- การบริหาร เปรียบเสมือน อุปกรณ์ที่เราใช้ทำงานให้สำเร็จ ยิ่งใช้อุปกรณ์ได้ดีมีประสิทธิภาพ ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น
- การบริหาร คือ การใช้เทคนิค , การใช้คน , การใช้ทรัพยากร
และเวลาที่มีอยู่ เพื่อทำให้เป้าหมายที่วางไว้ประสบความสำเร็จ
สรุป การบริหาร เป็น กระบวนการที่เป็นทั้ง ศาสตร์ และ ศิลป์
ให้ คณะบุคคล ร่วมกันทำงาน
โดยอาศัย ทรัพยากร และกระบวนการวิธีดำเนินการ
เพื่อ บรรลุวัตถุประสงค์ อย่างมีประสิทธิภาพในองค์กรหรือหน่วยงาน
Boom…
2. การบริหารนั้นสำคัญไฉน ?
สำคัญเพราะ การที่จะทำให้การบริหาร (งาน) สำเร็จ จะต้องมีการวางแผนอย่างรอบครอบ ดำเนินตามขั้นตอนอย่างระมัดระวัง เพื่อใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
3. ใครคือผู้ริหาร ?
ผู้บริหารระดับสูง (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร = Chief Executive Officer = CEO ) ที่ทำหน้าที่ในการวางนโยบาย วางแผนกลยุทธ์ เช่น. CEO ของมหาลัยฯ ก็คือ อธิการบดี ,ในโรงเรียน CEO ก็คือ ผอ.
4. อะไรบ้างที่ต้องบริหาร ?
สิ่งที่เราต้องบริหาร
1. ตนเอง บุคคลแรกที่ต้องผู้บริหารควรทำความรู้จัก คือ ตนเอง คนที่บริหารตนเองได้ดี คือ คนที่มีความมุ่งมั่นสู่ เป้าหมายแห่งความสำเร็จ
2. งาน – ทำให้ดีที่สุด
- สุดเวลาที่มีอยู่
3. คน , ทีมงาน การเลือกคนเข้ามาทำงานในทีมต้อง มีความรู้ ความสามารถตามความถนัด ความชำนาญที่แตกต่างกัน เพื่อ จุดเด่นของแต่ละคนจะได้เสริมกัน
4. เวลา การบริหารเวลา คือ การการบริหารชีวิต (เพราะเวลาที่ผ่านไปหมายถึงชีวิตที่ผ่านไป
5. บริหารงานอย่างไรให้สำเร็จ ?
การบริหารให้สำเร็จต้อง
1. ต้องมีแผน
2. ต้องมีวิสัยทัศน์
3. ต้องมีเป้าหมาย
4. ต้องมีการกระจายงาน
5. ต้องมีการตรวจสอบ
6. ต้องมีการแก้ปัญหา
7. ต้องมีการพัฒนา Boom…
บทบาทหน้าที่ของผู้บริหารโรงเรียน มีดังต่อไปนี้
1. ตระหนักและเห็นความสำคัญว่าจะต่อมีการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลง
2. บริหารและจัดการแบบมีส่วนร่วม
3. บริหารงานในรูปแบบ “ภาวะผู้นำ”
4. สร้างขวัญและกำลังใจ
5. สร้างความเข้าใจกับผู้ปกครองและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ
* ผู้นำ หมายถึง ผู้กำหนดวัตถุประสงค์ ของหน่วยงาน ให้ความคิดริเริ่มในการปฏิบัติงาน
มีความรับผิดชอบต่อความสำเร็จ
*ภาวะผู้นำ (Leadership) เป็นการใช้ศิลปะจูงใจ ให้คนทำงาน โดยผู้ทำงาน เต็มใจทำงาน
( นำคนได้ใช้คนเป็น)
*ถ้าผู้บริหารมีภาวะผู้นำ จะทำให้เกิดความสำเร็จ 3 ประการ
คือ. 1. นำคนได้
2. นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่องค์กรได้
3. ใช้สยบปัญหาได้
*ผู้บริหารที่จะบริหารงานให้สำเร็จ จะต้องรู้จัก การครองตน ครองคน ครองงาน
การครองตน ( มีคุณธรรมและจริยธรรมต่อตนเอง)
- เป็นแบบอย่างที่ดีของคนในองค์กร)
- มีกริยามารยาทและแต่งกายดี
- พูดจาไพเราะ
- มีความเป็นผู้ใหญ่ เชื่อถือได้
- มีวินัยในตนเอง
- ยึดหลักธรรม คำสั่งสอนของศาสนา ฯลฯ
การครองคน ( มีคุณธรรมและจริยธรรมต่อผู้อื่นและสังคม )
- ประพฤติดีประพฤติชอบ
- มีความหนักแน่นอดทน
- มีความยุติธรรม
- มีอัธยาศัยดี ฯลฯ Boom…
การครองงาน ( มีคุณธรรมจริยธรรมต่อหน้าที่การงาน )
- มีความรู้ แสวงหาประสบการณ์
- มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
- มีความคิดสร้างสรรค์
- มีความรับผิดชอบสูง
- ยึดหลักธรรมประจำใจในการปฏิบัติงาน ฯลฯ
การศึกษา เป็น ปัจจัยสำคัญของการอบรมบ่มนิสัย การกล่อมเกลาทางสังคม การเตรียมตัว
เพื่อให้บุคคลมีทักษะ ความรู้ ความสามารถในการดำรงชีวิต และประกอบอาชีพได้ในอนาคต
การเรียนรู้ (นำไปสู่ ความรู้) ในปัจจุบันโลกก้าวเข้าสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ หรือเข้าสู่ระบบ เศรษฐกิจที่เรียกว่า “ฐานความรู้” ความรู้จึงเป็นเครื่องมือที่จำเป็น และจะขาดเสียมิได้ ในสังคมสมัยใหม่ ความรู้ที่ทันสมัยที่เหมาะสมกับสภาพ จะช่วยแก้ปัญหาได้และนำไปสู่ การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เป็นพลังสำคัญสำหรับการอยู่รอดและการพัฒนา
จริงแล้ว ผมไม่อยากที่จะชี้นำในการเข้า ถึง วิชา ปรัชญาการศึกษา ว่าที่นำมาลงใน Web ว่ามีหลักวิเคราะห์ อย่างไร อยากให้คนอ่านได้ รู้จักคิดวิเคราะห์เองบ้าง (เมื่อถามมากันมากก็ต้องตอบไป) หากท่านวิเคราะห์ดี ๆ จะเห็นว่า โรงเรียนทุกโรงเรียนในประเทศไทย จัดการศึกษาของโรงเรียนตน เข้าใน ปรัชญาการศึกษา ใดปรัชญาการศึกษาหนึ่ง แล้วแต่ละปรัชญาการศึกษา ที่โรงเรียนตนต้องการ และก็จะมีความแตกต่าง ที่.
• 1. จุดมุ่งหมายของการศึกษา
• 2. หลักสูตร
• 3. โรงเรียน
• 4. ผู้เรียน
• 5. ผู้สอน
• 6. กระบวนการเรียนการสอน
• 7. การวัด และประเมินผล
• 8. ผู้บริหาร
ทีนี้ 1 – 8 คือ การวิเคราะห์ 8 ด้าน ตามโครงสร้างการจัดการศึกษาในสถานศึกษา
ผู้ที่เรียน บริหารการศึกษา ยิ่งได้อะไรอย่างมากมาย โดยจำหลัก ข้อ 1 – ข้อ 8 ไปไว้วิเคราะห์ เกลือบทุกกระบวนวิชาได้อย่างสบาย เช่น. ถ้าเขาถามว่าถ้าจะพัฒนาการศึกษาของไทยให้ดีจะทำอย่างไรบ้าง ตอบ เราก็ใช้ หลัก 8 ข้อ ไปวิเคราะห์ได้เลย
• 1. จุดมุ่งหมายของการศึกษา …….เช่น.ต้อง พัฒนาผู้เรียนให้พร้อมทุกด้าน ทั้งร่างกาย และจิตใจ ฯลฯ
• 2. หลักสูตร……เช่น.ต้อง ฝึกให้ผู้เรียนมีสติปัญญา & เหตุผล ,ต้องทันสมัย ฯลฯ
• 3. โรงเรียน…..เช่น.ต้อง เป็นบรรยากาศแบบประชาธิปไตย,สิ่งแวดล้อมดี
• 4. ผู้เรียน……เช่น.ต้อง รู้จักแลกเปลี่ยน อภิปรายความรู้ร่วมกัน
• 5. ผู้สอน……เช่น.ต้อง วิธีการสอนทันสมัย,รู้จักใช้ EICT , กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์
• 6. กระบวนการเรียนการสอน…….เช่น.ต้อง ให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ
• 7. การวัด และประเมินผล…….เช่น.ต้อง วัดความรู้ ความก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน
• 8. ผู้บริหาร……เช่น.ต้อง มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์

ที่มา  http://www.radompon.com/weblog/?page_id=44